ศัพท์ ดี๊ ดี ที่ BB&C

หลังจากเรียน Fast English จบไป
ก็พักเหนื่อยไปสักสองสามอาทิตย์

มาต่อกันที่

BB&C

BB&C นั้น ถือเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย
เก่าแค่ไหน ไปเปิดเว็บดูได้ - -'

การหาข้อมูลจากเว็บนั้น ไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไหร่
เนื่องจากรายละเอียดน้อยมากๆ

ในที่สุดก็ตัดสินเดินทางไปที่ BB&C ด้วยตนเอง
เลือกสาขารามคำแหง เพราะใกล้ที่สุดแล้ว

สาขานี้จะอยู่ในซอยข้างเดอะมอลล์ราม ฝั่งที่มีร้านแมคโดนัลด์อยู่อ่ะ
ซอยข้างแมคเลย เดินเข้าไปจนเกือบถึงทางเข้าลานจอดรถของเดอะมอลล์
จะเจอป้ายสถาบัน MAC ก่อน แล้วค่อยเจอป้าย BB&C

ตึก BB&C จะเป็นตึกแถวขนาด 2 ห้อง น่าจะมี 4 ชั้นมั้ง
ชั้นล่างจะเป็นเคาน์เตอร์ของ BB&C เอง มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่
เวลาจะเข้าต้องกดออดเรียกก่อนนะ เพราะประตูล็อคตลอดเวลา

เข้าไปแล้วก็สอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนกับเจ้าหน้าที่

รายละเอียดหลักสูตร
คอร์ส General Vocab
หลักสูตร 20 weeks
จำนวนชม. 90 ชม. แถมให้ 45 ชม. รวมแล้วเรียนได้ 135 ชม.
ราคา 7000 บาทถ้วน

รูปแบบการเรียน
การเรียนเป็นแบบเรียนกะคอม
ซึ่งจะเป็นวีดีโอบันทึกการสอนสมัยเมื่อนานมาแล้ว

คำแนะนำก่อนสมัครเรียน
ใครจะสมัครเรียน แต่หน้าแต่งตัวไปดีๆ นะ มีถ่ายรูปติดบัตรด้วย
สามารถเลือกที่จะเริ่มเรียนได้ทันที หรือไปเริ่มเรียนวันหลัง (แต่ไม่เกินสองอาทิตย์นับจากวันสมัคร)
โดยจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะเค้าจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าเรียนไปจนครบ 20 สัปดาห์ หรือ 135 ชม.


สามารถจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้
สมัครแล้วจะได้ใบเสร็จกับหนังสือเรียนมา แถมด้วยถุงผ้าตรา BB&C อีก 1 ใบ
วันมาเรียนต้องนำใบเสร็จมาด้วย เพื่อจะได้เอามารับบัตรนักเรียน

เรียนข้ามสาขาไม่ได้
แต่ละสาขาจะมีเวลาทำการไม่เหมือนกันนะจ๊ะ
สามารถเข้าเรียนได้ทุกวัน ยกเว้นวันที่เป็นวันหยุดประจำของสถาบัน  (เช่นหยุดทุกวันจันทร์) และวันหยุดราชการที่สถาบันประกาศหยุด (ส่วนใหญ่ตรงกับวันธรรมดา)
สาขานี้เริ่ม 8.00-17.00
แต่เริ่มเรียนได้จริงๆ คือ 8.30-16.30

เวลาเรียนให้โทรมานัดหมายล่วงหน้า (ยกเว้นวันแรก)
โดยแจ้งเวลาเข้าเรียน และหมายเลขตรงบัตรให้เจ้าหน้าที่ เพราะเค้าจะได้จัดเตรียมเนื้อหาและอุปกรณ์ได้ทัน

บัตรนักเรียนต้องพกมาด้วยทุกครั้ง ไม่งั้นจะอดเข้าเรียน

จากตรงเคาน์เตอร์ จะเห็นจอมอนิเตอร์ ที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของห้องเรียนแต่ละห้อง
และบริเวณรอบสถาบัน

สภาพห้องเรียนเป็นไง
ห้องเรียนของเราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปสองชั้น
ชั้นนั้นจะแบ่งย่อยเป็นห้องต่างๆ 4 ห้อง เขียนว่า 2/1 2/2 2/3 2/4

ภายในห้องจะเป็นโต๊ะเหมือนห้องซาวด์แลป โต๊ะใครโต๊ะมัน มีพาติชั่นกั้น
ตรงโต๊ะ จะมีจอมอนิเตอร์อยู่ พร้อมแป้นนัมแพด คือ แป้นคีย์บอร์ดที่มีเฉพาะตัวเลข แบบที่เค้าเอาไว้เสริมเครื่องโน๊ตบุ๊ค
แล้วก็มีเฮดโฟนให้ 1 อันยี่ห้อ OKER ถ้าไม่ชอบ เอาของส่วนตัวมาใช้ได้

ห้องนึงจุคนได้ประมาณ 6 คน ถ้วน 55555 น้อยมาก
เรียนทีเงียบกริบ ยกเว้นเสียงถุงขนม กะเสียงก่อสร้าง
เวลาไปเรียน เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่า เราจะได้เข้าไปเรียนห้องไหน โต๊ะไหน 

มีห้องน้ำให้ 3 ห้อง ชาย 1 หญิง 2

มีโซนสำหรับนั่งเล่น เป็นโต๊ะเล็กๆ ไว้ออกไปนั่งพัก (หลับ) ได้


ห้ามบันทึกเสียง ภาพ และวีดีโอ

ในห้องมีกล้องวงจรปิดด้วยนะจ๊ะ

ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในห้อง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า พวกน้ำเอาเข้าไปได้
จะไม่อนุญาตเฉพาะอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง
(และของกินที่มีเสียงดังรบกวนชาวบ้าน คือ พวกขนมปัง แซนวิช อะไรพวกนี้เอาเข้าไปได้)

เนื้อหาที่เรียน
จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 45 บท บทละ 2 ชม.
ครอบคลุมเนื้อหาคำศัพท์ 1200 คำโดยเรียงตามตัวอักษร A B C ... แต่ไม่ถึง Z นะจ๊ะ
เรียนจบถึงแค่ตัว M (ยังไม่ครบทุกตัวด้วย)
โดยจะเป็นศัพท์ที่พบบ่อยในข้อสอบพวก TOEFL GMAT ป.โท อะไรพวกนี้ ไม่ได้เอาทั้งหมดในดิกมานะ

เปิดจอมา จะเป็นโปรแกรมเฉพาะของทางสถาบัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเตรียมเนื้อหาไว้ให้
วันแรกเค้าจะอธิบายวิธีการใช้งานโปรแกรม ซึ่งจะอาศัยนัมแพดในการควบคุม
เอาง่ายๆ ว่าเมนูมันหน้าตาเหมือนเครื่องเล่น MP3 สมัยก่อนเลย
เลือกเมนู เข้าไปเรื่อยๆ แล้วไปเลือกบทเรียน (บทเรียนย่อยๆ ของคอร์สที่เราเลือกเรียน)

เราสามารถจะควบคุมการเล่นเนื้อหาของแต่ละบทได้โดยใช้นัมแพด จะย้อนหลัง หรือเดินหน้าได้ทั้งนั้น
แต่จะมีคาบเวลาประมาณช่วงละ 2 นาทีนะ ไม่สามรถระบุเวลาแบบเจาะจงได้
คือมันจะใช้ปุ่มซ้ายขวาในการเลื่อนช่วงเวลาน่ะ สามารถ Pause เนื้อหาไว้ได้

เทปบันทึก
คือเปิดมารู้เลยว่าเทปเก่ามาก เวลาอาจารย์เล่าอะไร มันจะกลายเป็นเรื่องเมื่อครั้งอดีตไปเลย 5555
ภาพไม่ค่อยชัด เท่าไหร่ มีสะดุดบ้าง

วิธีการบันทึก จะเป็นแบบภาพไม่อยู่นิ่ง จะพยายามโฟกัสไปที่สิ่งที่อาจารย์เขียนบนไวท์บอร์ด
ซึ่งหมายความว่า เราไม่่สามารถมองเห็นทั่วทั้งไวท์บอร์ดได้ตลอดเวลา
กล้องจะไปโฟกัสตามเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอน
บางครั้งๆ จดๆ อยู่ อาจารย์ ขยับไปทางซ้ายปุ๊บ กล้องก็ไปทางโฟกัสทางซ้ายทันที
อ่าว ทางขวายังจดไม่เสร็จเลย ต้องย้อนๆ กลับมาดูใหม่
ดังนั้น เวลา 2 ชม. ของแต่ละบท เชื่อเหอะ มันไม่ได้ใช้ 2 ชม.เป๊ะหลอก มันเกินทุกทีเลย

วิธีการสอน
เนื่องจากมันเป็นศัพท์เนอะ พวกกฎอะไรก็ไม่มี
เน้นจำอย่างเดียว
แต่การสอนของอาจารย์จะไม่ได้เขียนศัพท์มาแล้วบอกว่า หมายความว่าอย่างงี้ๆ นะ ไม่ใช่เลย

พอคำศัพท์มาปุ๊บ
อาจารย์จะเอามาจำแนกก่อนเลย ว่าเป็นคำชนิดไหน Noun Verb Adjective Adverb บลาๆๆๆ
จากนั้นแยกคำออกมา ดูรากศัพท์ของแต่ละคำในศัพท์นั้น ว่าแต่ละตัวมันมีที่มาจากอะไร
แล้วรวมกันแล้ว มันมีความหมายว่าอย่างไร

จากนั้นก็จะให้กลุ่มของ คำเหมือนกับคำตรงข้าม ซึ่งบางตัวที่อาจารย์อยากจะเน้น ก็จะทำแบบคำศัพท์หลัก เอามาจำแนกเหมือนกัน

ตัวอย่างประโยค รูปแบบอื่นของคำนั้น (เช่น คำหลักเป็น Adjective ก็จะให้รูปของ Noun Verb Adverb มาด้วย) และคำที่มาจากรากศัพท์เดียวกัน พร้อมจำแนกคำนั้นให้แบบเดียวกับคำหลัก

ซึ่งเราว่ามันเวิร์คมากๆ เหมือนเล่านิทานเลย ฟังเพลินๆ ดี
บางคำเจอบ่อยมากๆ บางทีมันเป็นคำหลัก บางทีมันก็ไปเป็นคำเหมือน บางทีมันก็ไปเป็นคำตรงกันข้าม หรือบางทีไปเป็นคำที่มาจากรากศัพท์เดียวกับคำอื่น คือ เจอบ่อยจนจำได้ไปเองเลย

เช่น คำที่เกี่ยวกับ เกลียด ดุด่า บรรเทา ศัตรู ฯลฯ จะเจอคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้โครตจะบ่อยเลย

เราชอบวิธีการสอนแบบนี้มากๆ เลย มันได้อะไรหลายๆ อย่าง เหมือนเล่านิทานแล้วเราก็จำได้เอง
บางครั้งเจอคำที่มันมีองค์ประกอบของคำคล้ายๆ กับที่เรียนมาก็ลองมาจำแนกเอาเอง สนุกดี (ถึงจะมั่วเอาก็เถอะ 5555)
แต่ถามว่าจำได้หมดมั๊ย ตอบเลยว่า ไม่ 55555 

ขออนุญาตยกตัวอย่าง

---------------------------------------------------------------
Bellicose (adj)
รากศัพท์ของคำว่า Bell คือ สงคราม (war)
อ่าว bell ไมใช่พวกกระดิ่งหรือระฆังหรอ????

ที่มาของมันคือ สมัยก่อนเวลามีสงครามเค้าจะใช้ระฆังของโบสถ์เพิ่อบอกว่ามีสงครามจ้าาาาา
เพราะฉะนั้นคำที่มี Bell เป็นองค์ประกอบเลยมันจะเกี่ยวข้องกับสงครามหรือความรุนแรงไปด้วย
เช่น

Belligerent (adj) - ภาวะสงคราม
Rebellion (n) - การก่อกบฎ

ซึ่งความหมายของ Bellicose คือ ชอบสงคราม หรือ ก้าวร้าว

ส่วนคำเหมือน คำตรงข้าม คำรูปแบบอื่น ไม่ขอพูดถึงเนอะ มันเยอะ

---------------------------------------------------------------

เทคนิคการสอนอื่นๆ ไม่มีจ้า
มุขฮาๆ ก็ไม่มีอีกจ้า
ถ้ามีชั้นคงนั่งขำคนเดียวหน้าจออ่ะนะ

ตอนเข้าเรียนจะมีบันทึก (ลงกระดาษ) ว่าเรามาเรียนกี่ชม.ด้วย (เข้ากี่โมง ออกกี่โมง)
เพราะที่นี่ไม่ได้เรียนแบบบุฟเฟต์
เพราะงั้นบางครั้งจะรู้สึกเครียดเรื่องเวลา (จริงๆ น่าจะมีชั้นคนเดียวที่เครียด 555)
แบบว่ากลัวใช้เกิน 135 ชม. ไรงี้

วันนึงเราเรียนเฉลี่ย 4-5 ชม. สูงสุดคือ 6 ชม. แต่ทำได้ไม่บ่อย เพราะง่วง
จริงๆ ควรเรียน 1 ชม. แล้วพัก เพราะช่วงนั้นจะยังไม่ง่วง ถ้าเรียนต่อเนื่องไปจะง่วงมาก
ยิ่งบ่ายๆ นะ โครตง่วงเลย

ควรเตรียมสมุดไว้เยอะๆ เพราะหนังสือที่ให้มา จดเนื้อหาที่อาจารย์สอนได้ไม่หมด
หนังสือจะมีแค่ คำศัพท์หลัก คำเหมือนนิดหน่อย แล้วก็ตัวอย่างประโยคเลย

สรุปแล้วเป็นคอร์สที่ชอบมาก และทำให้ยอมเรียนคอร์สอื่นต่อ ตอนนี้เรียน Intensive strucure อยู่
ไว้มาเล่าให้ฟัง

สรุปข้อดีข้อเสียมาเลยละกัน
ข้อดี
- เนื้อหาดีมากกกก วิธีการสอนดีมากกก ไม่นอกเรื่อง
- ใกล้เดอะมอล์ มีแหล่งช็อปปิ้ง (อันนี้ความเห็นส่วนตัว ชอบเดอะมอลล์มากกว่าเซ็นทรัล)
- จำนวนนักเรียนน้อย
- สามารถเลือกบทเรียนย่อยได้เอง ไม่ต้องกลัวว่า ขาดเรียนวันนี้ แล้วจะพลาดเนื้อหานี้ไปเลย
- มีอิสระในการเลือกฟัง ช้าไปก็เร่งให้มันไปเร็วๆ เร็วไปตามไม่ทันก็ย้อนหลังไปฟังใหม่ได้
- หลับได้ เพราะโต๊ะมันเอื้ออำนวยเหลือเกิน

ข้อเสีย
- ไม่มีแบบฝึกหัด ถึงจะมีตัวอย่างประโยคให้ทุกคำ แต่มันน้อยไปหน่อย
- เทปเก่า
- ไม่บุฟเฟต์
- เดินทางลำบากหน่อย
- ไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาของวีดีโอได้อย่างอิสระ คือบางทีอยากถอยไปหน่อยเดียวอ่ะ ถอยไปซะไกลเลย
- ฟังอย่างเดียว
- ไม่มีมุกตลก
- การโฟกัสของกล้องที่ไม่ได้ดั่งใจ
- การดีไซน์ตำราเรียน ไม่ค่อยดึงดูด
- มีกล้องจับผิดตลอดเวลา 55555

เนื้อหา : ★★★★★
เทคนิคการจำ : ★★★
เทคนิคการสอน : ★★★★
บรรยากาศ : ★★
การเดินทาง :  ★★
ราคา : $ $ $ $


สนใจ BB&C ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่

=====================================================

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ʕ•ᴥ•ʔ ♡ ยืนงงในดงจีน ปี 2 : ประสบการณ์การซื้อยา Diamox ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน

☞ ประสบการณ์ทำเควส "ตรวจสุขภาพ ศูนย์แพทย์พัฒนา" ☜

ประสบการณ์ยื่นขอวีซ่าจีน ด้วยตัวเอง <ก.ย 2561 & ส.ค 2562>