ʕ•ᴥ•ʔ ♡ Family Trip @Japan -- Day 1 มุ่งสู่ Matsumoto

Day 1 มุ่งสู่ Matsumoto






เกริ่นนำ

Family trip ต่างประเทศครั้งนี้
เริ่มต้นจากปีที่แล้ว
ท่านแม่มาเนียนๆ ถามว่าญี่ปุ่นมันเหมือนกับสิงคโปร์รึเปล่า?

ทริปพาแม่สำรวจญี่ปุ่นจึงเริ่มขึ้น!!
ภายใต้เงื่อนไขว่า
ไม่เอาหนาว ไม่เอาร้อน

เลยคิดว่า ประมาณเดือนพฤษภา น่าจะเหมาะที่สุด
เพราะเมษา ต้องกลับบ้านช่วงสงกรานต์
ต้นพฤษภา กับ ปลายพฤษภา มีงานทำบุญประจำปีของทางบ้าน
เลยเลือกประมาณกลางๆ พฤษภา แทน
ช่วงเวลาที่เลือกคือ บิน 13 พฤษภา กลับ 19 พฤษภา 
(จริงๆ พลาดไปนิด คือไม่รู้ว่า 20 มันเป็นวันหยุด เลยอดเที่ยวอีกวันนึงเลย)

แล้วเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดีล่ะ??
ซากุระก็หมดแล้วด้วยสิ
ถ้าไปเที่ยวแต่โตเกียวมันก็จะมองไม่เห็นความต่างจากสิงคโปร์เท่าไหร่

โชคดีที่ช่วงที่ไป เป็นช่วงที่กำแพงหิมะเปิดพอดี
จึงตัดสินใจให้แพลนหลักเป็น
Japan Alps และ Kamikochi 
เลือกพักที่เมือง Matsumoto เพราะอยู่ใกล้กับทั้งสองที่และมีตั๋วพิเศษขาย
ที่เหลือค่อยเที่ยวแถวๆ โตเกียว

ครั้งนี้
การเดินทางจาก Bangkok ไป Tokyo
ออกเดินทางกับสายการบิน Airasia 
ค่าตั๋ว 3 คนพร้อมกระเป๋า ที่นั่ง และอาหาร ตกคนลประมาณ 9,500 บาท

การเดินทางจาก Narita ไป Shinjuku
เลือกซื้อตั๋ว Keisei Skylier จากเว็บ Klook เนื่องจากมีส่วนลด เหลือคนละประมาณ 400 บาท
โดยต้องไปลงที่ Nippori แล้วค่อยต่อ JR ไป Shinjuku
ที่ไม่เลือก NEX เพราะมันแพงกว่า และใช้เวลามากกว่า

การเดินทางจาก Shinjuku ไป Matsumoto
ซื้อตั๋ว Kamikochi Yu Yu ผ่านทางเว็บไซต์ ราคาคนละ 10,000 เยน(เริ่มเปิดให้จองปลายเดือนเมษา)
ซึ่งตั๋วนี้สามารถใช้ไปกลับ Shinjuku - Matsumoto และเดินทางไปกลับ Matsumoto - Kamikochi ได้
โดยจะมีอายุประมาณ 5 วัน หลังจากวันที่ระบุไว้ตอนจอง

การเดินทางใน Tokyo
ก็ซื้อ Tokyo Subway 72 ชม. จาก Klook เพราะได้ส่วนลดเช่นกัน

การเดินทางไป Kawaguchiko
ขาไป Shibuya- Kawaguchiko
ขากลับ Yamanakako - Shinjuku
จริงๆ อยากได้ไปกลับ Shinjuku - Kawaguchiko 
แต่เพราะจองช้าไป ตั๋วรอบเช้าเลยเต็ม จึงต้องไปขึ้นที่ Shibuya แทน 
แล้วก็เลือกไปทะเลสาบ Yamanaka เพราะไม่เคยไปนั่นเอง

การเตรียมตัวไป Japan Alps
ก็ไม่ได้มีอะไรมากเป็นพิเศษ
เสื้อกันหนาวคนละ 1 ตัว ของพ่อกับแม่จะเป็นขนเป็ด ส่วนของเราเป็นแจ็คเก็ตธรรมดา
รองเท้าผ้าใบ ซึ่งแม่พยายามจะเอารองเท้าแตะไปกำแพงหิมะให้ได้ เลยต้องบังคับกันหน่อย
ฮีทเทค หมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า เราเตรียมให้หมด

พ่อกับแม่มาเตรียมตัวที่กรุงเทพก่อนประมาณ 2 วัน
ส่วนใหญ่เราเป็นคนเตรียมของให้ทุกอย่าง 
มีแค่เสื้อผ้าประจำวัน เสื้อกันหนาว ยา ที่พ่อแม่ต้องเตรียมเอง




เอาล่ะ พร้อมแล้ว ออกเดินทางได้!!!!!!!!!!!




แพลนคร่าวๆ


14 May 2019

08.00 เครื่องมาถึงสนามบิน Narita
09.00 แลกตั๋ว Tokyo Subway ที่เคาน์เตอร์ H.I.S ชั้น 1
09.10 แลกตั๋ว Keisei Skyliner ที่เคาน์เตอร์ Keisei ชั้น B1
10.02 นั่ง Keisei Skyliner ไป Nippori
10.40 ถึง Nippori
เปลี่ยนไปนั่ง JR สาย Yamanote ไปลง Shinjuku
11.10 ถึง Shinjuku ออกทาง New South Exit
ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 4 Shinjuku Express Bus Terminal
11.30 แลกตั๋ว Kamikochi Yu Yu ที่ Central Honshu Information Plaza ในโซน Keio Mall
12.00 กินข้าวกลางวันร้าน Negishi
13.55 ออกเดินทางไป Matsumoto
17.30 ถึงเมือง Matsumoto
17.45 เช็คอินโรงแรม Premier Hotel Cabin Matsumoto
สำรวจโรงแรมนิดหน่อย
18.00 กินข้าวเย็น ร้านข้าวผัดใกล้สถานีรถไฟ
ช็อปปิ้ง อาบน้ำ นอน





แพลนแบบละเอียด


🚩 สนามบินนาริตะ
เราเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง วันที่ 13 พฤษภา เวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน
มาถึงสนามบินนาริตะ ประมาณ 08.00 ของวันที่ 14 พฤษภา 
เครื่องบินตรงเวลาดีมากสำหรับสายการบิน AirAsia X

ใช้เวลาผ่านตม. ไม่นาน (แต่ไม่ได้เข้า ตม. พร้อมกัน)
จากนั้นก็ไปรับกระเป๋า
กระเป๋าไม่โดนตรวจสักใบ และไม่ได้คุยกะจนท. คนไหนเลย สบายดีจัง
รอบนี้ไปกัน 3 คน พกกระเป๋าไป 2 ใบ ขนาด 24" กับ 28" ช่วยกันลากสองคนกับพ่อ
เพราะแม่บอกว่า เป็นคุณนาย ไม่ต้องลากกระเป๋า

ออกมาบริเวณ Arrival Hall
ก็มองหาเคาน์เตอร์ H.I.S ทางขวามือ ชั้นเดียวกับ Arrival Hall นั่นแหละ
เพื่อแลกตั๋ว Tokyo Subway ที่ซื้อผ่าน Klook มา
ควรเผื่อเวลาสักครึ่งชม. เพราะแถวค่อนข้างยาวเหมือนกัน






รอบนี้เราใช้ SIM2Fly 3 ชุด 
เพราะคิดว่าชัวร์กว่าใช้ WIFI 
ถ้าหลงหรือมีปัญหาก็ใช้ Line โทรหากันได้ (สอนวิธีให้งานให้พ่อกับแม่ไว้แล้ว)

จากนั้นก็ลงบันไดเลื่อนไปชั้น B1
มองตามป้าย Train ไปเรื่อยๆ
พอเข้าห้องที่มีจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารของพวก Keisei กับ NEX 
ก็เดินไปทางห้องของ Keisei ทางซ้ายมือ (ใกล้กับ Family mart) เพื่อแลกตั๋ว Keisei Skyliner ที่ซื้อผ่าน Klook มาเช่นกัน










แต่เนื่องจากแลกตั๋วช้าไปนิด ทำให้ไม่ทันรถไฟรอบนี้ ต้องรอไปอีกประมาณ 40 นาที
แต่ไม่เป็นไรรอได้ ไม่ผิดไปจากที่แพลนไว้เท่าไหร่




เราเดินย้อนกลับไปใกล้ๆ บันไดเลื่อนที่เพิ่งลงมา
ทางฝั่งซ้ายจะมี 7-11 และที่นั่ง สามารถมารอรถไฟบริเวณนี้ได้

พอถึงเวลาเกือบ 10 โมงก็ไปขึ้นรถไฟ
ประตูตรวจตั๋วจะอยู่ตรงข้ามเคาน์เตอร์ที่เราไปแลกตั๋วมานี่เอง ไม่ไกลกันเท่าไหร่
สอดตั๋วไปแล้ว ก็เดินเลี้ยวซ้าย ไปชานชาลา 1 สังเกตจากป้ายบอกทางสีส้มๆ




รู้สึกไม่ค่อยชอบชานชาลานี้เท่าไหร่ เพราะพื้นที่ค่อนข้างแคบ หาแถวไม่เจอ

รถไฟมาค่อนข้างตรงเวลา
ตั๋วเป็นแบบระบุที่นั่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้นั่ง
รถใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็มาถึง Nippori








🚩 สถานี Nippori
เราลงที่สถานี Nippori เพราะต้องต่อรถไฟ JR สาย Yamanote ไปที่ Shinjuku 
ที่ไม่ใช้ NEX เพราะมันราคาแพงกว่า และเวลาเดินทางมากกว่า





โดยการเปลี่ยนสายที่สถานี Nippori นั้น สามารถเชื่อมต่อกันได้ภายในสถานีเลย
แต่วิธีการเปลี่ยนสายจะงงๆ หน่อย
รอบที่แล้วเคยมาครั้งนึง ออกจากสถานีไม่เป็น ต้องให้เจ้าหน้าที่ช่วย
รอบนี้ศึกษามาอย่างดีแล้ว วิธีการเปลี่ยนขบวนจาก Keisei ไปเป็น JR มีดังนี้
ก่อนอื่นมาถึงสถานีแล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นบน
แล้วเดินตามป้ายที่เขียนว่า Gate for Transfer Passengers Only
> ถ้าใครมาด้วย IC Card อย่างเดียว ก็แตะออกไปได้เลย
> ถ้าใครใช้ตั๋ว Keisei Skyliner ต้องสอดตั๋วเข้าเครื่องก่อน แล้วค่อยแตะ IC Card หรือสอดตั๋ว JR ตามอีกครั้ง คือต้องใช้ตั๋ว 2 ใบในการเปลี่ยนสาย
หรืออาจจะเอาตั๋วไปแลกที่เคาน์เตอร์ก่อน เพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วอีกใบ เวลาใช้ก็แค่สอดใบนี้ใบเดียวก็ได้



🚩 Shinjuku Expressway Bus Terminal
รถไฟใช้เวลา 20 นาที มาถึง Shinjuku โชคดีที่พ่อกับแม่ได้นั่งตลอดทาง
เวลาออกจากสถานี ก็มองหา ป้าย New South Exit
พอออกจากสถานี ก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 4 อาคาร Shinjuku Expressway Bus Terminal
ซึ่งเป็นชั้นท่ารถที่เราจะนั่งรถบัสไปยังเมือง Matsumoto นั่นเอง





เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ก่อน
ค่าล็อคเกอร์ที่ท่ารถนี่ค่อนข้างถูก ใบใหญ่สุด 300 เยนเอง (ที่อื่นน่าจะ 600-800 เยน)
จากนั้นก็ทิ้งพ่อแม่ไห้รอแถวนี้
เพราะเราจะไปแลกตั๋วอีกชุด คือ Kamikochi Yu Yu Ticket

Kamikochi Yu Yu Ticket
เป็นตั๋วชุดสำหรับคนที่จะเดินทางไปกลับเมือง Matsumoto และมีแผนจะเดินทางไป Kamikochi ด้วย
สามารถจองผ่านเว็บไซต์ของ Highway bus ซึ่งจะเปิดจองช่วงปลายเมษา
ค่าตั๋วอยู่ที่ 10,000 เยน (ปีที่แล้ว 8,200 เยนเอง ToT)
จองและชำระเงินผ่านเว็บ (รับทั้งบัตรเครดิตและเดบิต)
ไม่สามารถเลือกที่นั่งได้เอง
แต่จะมีหมายเลขที่นั่งบอกไว้ในใบจองหลังจ่ายเงินแล้ว

🚩 Central Honshu Information Plaza 
ตอนนี้รีบมาก เพราะเคาน์เตอร์แลกตั๋วจะปิดช่วง 12.00-13.00
จริงๆ เค้าแนะนำให้แลกล่วงหน้า อย่างน้อย 1 วัน แต่เราทำไม่ได้ เลยต้องรีบมาให้ทันก่อนเที่ยง

จากชั้น 4 ให้ลงไปที่ชั้น 2 ของอาคารท่ารถ 
ที่ตึกนี้ ชั้น 2 จะเป็นชั้นที่อยู่ติดถนน และชั้น 1 จะเป็นชานชาลารถไฟ

พอเจอถนนใหญ่ ซึ่งตรงข้ามเป็นอาคาร LUMINE 1 ก็เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปเรื่อยๆ
จะเจอประตูทางเข้ารถไฟสาย Keio (ประตู 2) ทางซ้ายมือ 
เดินลงบันไดเยอะหน่อย (ดีแล้วที่ไม่ให้พ่อกับแม่ตามมา)

พอถึงชั้นล่าง ให้มองหาทางเข้า Keio Mall ทางขวามือ
เดินเข้าไปนิดนึง จะเจอ Central Honshu Information Plaza อยู่ทางขวามือ
เดินไปด้านในสุดเลย แล้วยื่นไปจองให้จนท.




เค้าจะออกตั๋วจริงให้
โดยจะได้มา 5 ใบ
> ใบที่ 1 เป็นใบปะหน้าเฉยๆ
> ใบที่ 2 เป็นตั๋วบัส Shinjuku - Matsumoto กำหนดการเดินทาง 14 พฤษภา เวลา 13.55
> ใบที่ 3 เป็นตั๋วไป Matsumoto - Shin-shimashima - Kamikochi
> ใบที่ 4 เป็นตั๋วไป Kamikochi - Shin-shimashima - Matsumoto
> ใบที่ 5 เป็นตั๋วบัส Matsumoto - Shinjuku กำหนดการเดินทาง 17 พฤษภา เวลา 09.20




🚩 ร้าน Negishi ねぎし月光荘ビル店
พอได้ตั๋วเสร็จก็กลับไปรับพ่อแม่มากินข้าว
แต่แถวท่ารถ มีแต่ร้านอาหารหรูๆ และออกแนวตะวันตกไปหน่อย 
พ่อแม่คงไม่กิน

เราต้องเดินไปอีกฝั่ง เป็นย่านร้านค้าร้านอาหารที่ใหญ่มาก
แต่มาช่วงเที่ยงๆ พอดี ทำให้ร้านที่เล็งๆ ไว้ ส่วนใหญ่เต็ม ต้องรอคิว
โดยตอนแรกเลือกร้านปลาย่าง Shimpachi Shokudo ไว้ แต่มันไม่ว่างและเราขี้เกียจต่อคิว



สุดท้ายก็ได้ร้าน Negishi แทน
เป็นร้านเน้นลิ้นวัวย่าง แต่มีเมนูหมูกับไก่อยู่บ้าง มีเมนูภาษาอังกฤษ
ซึ่งในย่านนี้ก็มีหลายสาขา น่าจะ 3 สาขาได้
http://www.negishi.co.jp/











ครั้งแรกของพ่อแม่ที่ได้กินอาหารญี่ปุ่น
ซึ่งแม่ไม่ปลื้มข้าวญี่ปุ่นเอาซะเลย แล้วเป็นคนที่ต้องกินข้าวเป็นหลัก ชนิดที่ขาดไม่ได้เลยซะด้วยสิ 
ถึงกับเอ่ยปากว่า ญี่ปุ่น ดีทุกอย่าง ยกเว้นอาหาร (สำหรับแม่ 555)




กินเสร็จก็เดินไปรอรถที่ท่ารถอีกครั้ง
รถจอดที่ชานชาลา C7 ออกเวลา 13.55 (สามารถดูรายละเอียดจุดจอดรถได้จากจอมอนิเตอร์ในท่ารถ)
รถมาค่อนข้างตรงเวลา





พอรถมาจอด ก็จะมีจนท. มายืนตรวจตั๋ว
ก็เอาตั๋วที่แลกมา ใช้แค่ใบแรกก่อน (มันจะเขียนตรงมุมด้านบนว่า 1/4) ยื่นให้จนท. 
เค้าจะสแกน QR Code แล้วบอกหมายเลขที่นั่งเราอีกที 
สามารถนำกระเป๋าเดินทางใส่ไว้ใต้ท้องรถได้ แต่ไม่มี Tag ติดกระเป๋าให้นะ ต้องจำเอาเอง







ภายในรถก็เหมือนรถบัสโดยสารทั่วๆ ไป
ที่นั่งค่อนข้างกว้าง สะอาด
มีปลั๊กไฟให้ด้วย มีห้องน้ำอยู่ด้านในสุดของรถ









สภาพอากาศวันนี้ ฝนตกปรอยๆ ตลอดวัน 
อากาศค่อนข้างเย็น เจอหมอกตลอดทาง




รถจะจอดรับและส่งคนเป็นบางช่วง








หลังจากออกเดินทางไปได้สัก 2 ชม.
ก็จะมาแวะตรงจุดพักรถ เพื่อให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำ หรือซื้อของ
โดยให้เวลาประมาณ 10-15 นาที




ระหว่างทางเห็นวิวทะเลสาบ Suwa ด้วย ใหญ่มาก อยากมาเที่ยวสักครั้งจัง


🚩 Matsumoto Bus Terminal
เวลา 17.30 รถก็มาถึง Matsumoto Bus Terminal โดยจะจอดด้านข้างของอาคาร
จากนั้นเดินต่อไปยังโรงแรม Premier Hotel Cabin Matsumoto ซึ่งอยู่ติดกับ Bus Terminal เลย
ห่างกันไม่ถึง 100 เมตร










อ่านรีวิวโรงแรม Premier Hotel Cabin Matsumoto

🚩 ร้าน Ohgiya Ramen おおぎやラーメン 松本駅前店 
สำรวจโรงแรมเรียบร้อย ก็มากินข้าวเย็นกัน
โดยเดินข้ามถนน แล้วตรงไปที่หน้าสถานีรถไฟ
เลี้ยวซ้าย เดินต่ออีกนิด จะเจอร้านป้ายสีเหลืองๆ ทางขวามือ เป็นร้านเดียวที่มีอาหารประเภทข้าว
จากนั้นก็สั่งข้าวผัดมากินกัน น้ำเปล่าบริการฟรี
ข้าวได้เยอะมาก แต่รสชาติออกไปทางเค็มๆ หน่อย
คนไทยมากินเยอะเช่นกัน
มีเมนูภาษาอังกฤษ
http://www.oogiya.com/














🚩 Alpico Plaza
กินข้าวเสร็จก็เดินกลับไปที่อาคารท่ารถ ช็อปปิ้ง และสำรวจห้าง
ชั้น 1 มี ร้านเครื่องสำอาง Matsumoto Kiyoshi
ชั้น B1 มี ซุปเปอร์มาเก็ต DELiCiA
ชั้น 2 มีร้าน 100 เยน Can Do
ชั้น 5 มีร้าน ของมือสอง Book Off

ปล. ถ่ายรูปได้ไม่ค่อยละเอียด เพราะมือนึงลากกระเป๋า มือนึงจูงแม่เดิน 555



สรุป


1. การเดินทางกับผู้สูงอายุ ไม่ควรเลือกไฟท์ทีบินดึกแล้วไปถึงเช้า เพราะคนแก่จะไม่ได้นอน
แต่เนื่องจากวันนี้ เรามีแพลนเดินทางทั้งวัน ไม่ได้เที่ยว
เราเลยเลือกไฟท์ดึก แล้วเดินทางยาวๆ ให้คนแก่หลับบนรถ 
พอมาถึงมัตสึโมโตะ ก็นอนต่อเลย ไม่ได้ไปเที่ยวไหน

2. ควรหาที่กินใกล้กับที่เที่ยว หรือจุดที่เราต้องไปอยู่แล้วให้ได้มากที่สุด
ส่วนร้านอร่อย ถ้าต้องเดินไกล ให้ถามคนแก่ก่อนว่าอยากกินไหม เดินไหวรึเปล่า เพราะส่วนใหญ่เค้าไม่เรื่องมากเรื่องกิน แต่เรื่องมากเรื่องเดิน

3. อุปกรณ์ต้องพร้อม และเราต้องเตรียมไว้เผื่อ เพราะเวลาบอกให้คนแก่เตรียมอะไร เค้าชอบคิดว่าไม่จำเป็น แล้วก็ไม่เอาไปเอง เช่น ร่ม เสื้อกันฝน
ต้องจินตนาการว่าอะไรจำเป็นอีกบ้าง เช่น เก้าอี้ ช้อนส้อม ที่ดูเหมือนไม่จำเป็น แต่จริงๆ โครตจำเป็นเลย 
นอกนั้นก็พวกยาต่างๆ
ส่วนของอะไรที่ให้เค้าเตรียมเอง อย่าลืมเช็คซ้ำอีกรอบด้วยก่อนเดินทาง 
อย่างของพ่อเนี่ย เตรียมยาไปเองเรียบร้อย 
แต่วันเดินทาง ดันไม่ได้เอาไป เอาไปวางไว้ไหนก็ไม่รู้ ดีที่แม่มียาตัวเดียวกัน เลยแบ่งกันกินได้

4. แม่เป็นผู้ไม่ยอมแบกสิ่งใด เพราะฉะนั้น เตรียมกระเป๋าไปสำหรับพ่อกับลูกก็พอ บางทีเห็นพ่อถือกระเป๋าสะพายหลัง 2 ใบ จริงๆ อีกใบไว้ให้แม่สะพาย แต่แม่ไม่เอา สุดท้ายพ่อก็ต้องสะพายเอง 2 ใบเลย 555 วันหลังเลยเอาใบใหญ่ไปเลย สะพายใบเดียวพอ

5. เวลาเดินทางที่เกี่ยวกับการเดิน ควรเผื่อไว้ 2-3 เท่า ของเวลาเดินปกติ เพราะคนแก่เดินช้า และเหนื่อยง่าย บางทีต้องเดินๆ หยุดๆ (เก้าอี้มันจะจำเป็นตอนนี้นี่แหละ)

6. ซิมการ์ด อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะตัวเรานั้นไม่ได้ติดกันตลอดเวลา ดังนั้นซื้อซะ 
อย่างน้อยก็โทรหากันผ่านไลน์ได้ อย่าลืมสอนคนแก่โทรด้วย

7. ประกันภัยการเดินทาง ขาดไม่ได้





ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง


👉 Day 1 มุ่งสู่ Matsumoto
👉 Day 2 ตะลุย Japan Alps
👉 Day 3 Kamikochi
👉 Day 4 Say Hi! Tokyo
👉 Day 5 ไปสบตา Fujisan
👉 Day 6 บ๊ายบายเจแปน


👉 โรงแรม Premier Hotel CABIN Matsumoto
👉 โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Tokyo-Kinshicho


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ʕ•ᴥ•ʔ ♡ ยืนงงในดงจีน ปี 2 : ประสบการณ์การซื้อยา Diamox ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน

☞ ประสบการณ์ทำเควส "ตรวจสุขภาพ ศูนย์แพทย์พัฒนา" ☜

ประสบการณ์ยื่นขอวีซ่าจีน ด้วยตัวเอง <ก.ย 2561 & ส.ค 2562>