ʕ•ᴥ•ʔ ♡ ยืนงงในดงจีน ปี 4 : Day 7 Dagu Glacier National Park 达古冰川
Day 7 Dagu Glacier National Park 达古冰川
01/11/2567
วันนี้ไม่ได้ตื่นแต่เช้ามากเหมือนวันอื่นๆ
พอ 7 โมงครึ่งก็ลงไปที่ห้องอาหาร
โดยห้องอาหารนั้นจะอยู่ชั้นล่างของล็อบบี้อีกที
ตอนเราไปถึง ห้องโล่งมาก
และอาหารเช้าก็เกือบจะโล่งด้วยเช่นกันนนน
ไหนบอกว่าให้มาหลัง 7 โมงครึ่งถึงจะมีข้าวต้มงายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
สรุปคือวันนี้แขกเยอะ (แขกชุดเดียวกับที่มาพักเมื่อคืน)
เค้ากินกันไปหมดแล้ว
อาหารเช้าจะเป็นอาหารง่ายๆ ข้าวต้ม ผัด 2-3 อย่าง ไข่ต้ม นม ข้าวโพดต้ม ซาลาเปา หมั่นโถว ชา
เป็นแบบบุฟเฟต์ บริการตัวเอง
รสชาติอาหารก็จะออกจืดๆ หน่อย กินง่ายดี
พนักงานโรงแรมคนเดิม เข้ามาถามเราว่า มีตั๋วกับรถไป Dagu หรือยัง
พอเราบอกว่ามีตั๋วแล้ว (ซื้อผ่าน Trip.com) แต่ยังไม่มีรถ ฝากช่วยเรียกรถให้หน่อยได้รึเปล่า
พนักงานก็บอกมาว่า วันนี้เค้าว่าง จะไปส่ง
สุดยอดดดดด ใจดีจังงงงงงงงง 😍
นัดกัน 9 โมงกว่าๆ
ก็ไปขึ้นรถ
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น
เพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก บนเขาสูงน่าจะมีหิมะตก เพราะเช้ามา ยอดเขาขาวโพลนเลย
ถนนทางไปอุทยานค่อนข้างดี ขับลัดเลาะเขา และมองเห็นแม่น้ำตลอดทาง
บริเวณเขาเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีตลอดทาง
เรายังมีอาการคล้ายๆ กับตอนนั่งรถบัสมาเฮ่ยสุ่ย
มวนท้องนิดหน่อย มึนหัวบ้าง แต่ไม่ปวดท้อง
เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เราเมารถ หรือว่า แพ้ที่สูงกันนะ 😟
รถใช้เวลา 10 นาที ก็มาถึงลานจอดรถอุทยาน
พนักงานส่งแค่นี้ และบอกว่า ถ้าจะกลับให้ wechat มาบอก
เราก็โอเค
จากนั้นก็เดินไปด้านใน
ต๋ากู่ปิงชวน Dagu Glacier National Park 达古冰川
เป็นธารน้ำแข็งถูกค้นพบผ่านดาวเทียมในปี ค.ศ.1992 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น
จัดเป็นธารน้ำแข็งที่ตั้งอยู่ต่ำที่สุด และอายุน้อยที่สุดในโลก ที่ระดับความสูง 4860 ม. เหนือระดับน้ำทะเล
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เสี่ยงต่อการแพ้ที่สูง
ราคาตั๋ว
ค่าเข้า 120 หยวน
รถบัส 70 หยวน
กระเช้า 180 หยวน
** รวม 370 หยวน
เวลาทำการ
08.00 - 17.30
มีรถจอดที่ลานจอดรถค่อนข้างเยอะ
แต่ดูนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
แวะถ่ายรูปก่อนถึงจุดสแกนตั๋ว
แต่ระหว่างทาง จะผ่านร้านค้า
ก็เลยแวะซื้อ อ๊อกซิเจนมา 2 กระป๋อง ราคา กระป๋องละ 30 หยวน
และแวะเข้าห้องน้ำก่อน
ห้องน้ำค่อนข้างสะอาด
เป็นแบบนั่งยอง กดน้ำปกติ แต่กลิ่นแรงเหมือนเดิม
หลังทำธุระเรียบร้อย ก็เดินไปจุดตรวจตั๋ว ไปช่องที่มีเจ้าหน้าที่อยู่เหมือนเดิม
เนื่องจากเราซื้อตั๋วผ่าน Trip มาแล้ว ไม่ต้องแลกตั๋ว สามารถใช้ Passport ได้เลย
ยื่น Passport ให้ แล้วก็เดินผ่านเข้าไปตรงจุดขึ้นรถอุทยานได้เลย
ที่นี่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก
นักท่องเที่ยวน้อย แทบไม่ต้องต่อคิวอะไรเลย
แต่การจัดการก็ยังดีอยู่ (ใช่สิ ก็เก็บค่าตั๋วแพงซะขนาดนั้น)
เมื่อมาถึงจุดขึ้นรถ จะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดนักท่องเที่ยว
รถเต็ม หรือคนไม่ขึ้นแล้ว ก็ออกเลย
บางกรุ๊ป เค้ามาด้วยกัน หรือเป็นกรุ๊ปทัวร์ เค้าก็ขอนั่งรถคันเดียวกันไปเลย
รถจะขับลัดเลาะหุบเขาและลำธารไปเรื่อยๆ
แนะนำให้นั่งฝั่งขวา จะมองเห็นวิวเยอะกว่า
สำหรับการจัดการรถของอุทยานแต่ละช่วงนั้น อาจจะแตกต่างกัน
บางครั้ง เค้าจะไม่จอดแวะที่ไหนเลย ตรงไปที่จุดขึ้นกระเช้า แล้วจะแวะขากลับอย่างเดียว
และอาจจะแวะจอดบางจุด
สำหรับช่วงที่เราไป อาจจะใกล้ช่วงพีคแล้ว (แต่คนก็ไม่ได้เยอะนะ)
เค้าจัดรถอุทยานไว้หลายคัน
รถจะจอดส่งตามจุดท่องเที่ยว
หากเราไม่อยากเที่ยว ตรงจุดนั้น
เราสามารถลงจากรถคันนี้ แล้วไปขึ้นรถคันที่รอรับคนอยู่ตรงป้ายหยุดรถได้เลย มีรถรออยู่ 3-4 คัน
แต่บางช่วง นักท่องเที่ยวน้อย รถจะรอรับเราไปเลย หรือถ้าจะแวะนาน อาจจะต้องบอกคนขับ เค้าจะได้ไม่ต้องรอ แล้วเราค่อยนั่งคันถัดไปแทน
สำหรับจุดแวะ จุดแรก Golden Monkey Sea ทะเลสาบลิง
ชื่อก็บอกว่า ต้องมีลิง 🐵 แน่นอน
แต่น้องเป็นลิงเจี๋ยมเจี้ยม ไม่โหด ไม่ดุ ไม่ต้องกลัวจะมากระชากของ แต่ระวังกับระเบิดตรงทางเดินไว้
เราแวะจุดนี้แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ไปขึ้นรถที่ป้ายต่อเลย
จากตรงนี้ รถจะขับขึ้นเขาค่อนข้างชันและคดเคี้ยว
แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่า คือ พอขับขึ้นไปบนเขาเรื่อยๆ
จากใบไม้สีเขียว ก็ค่อยกลายเป็นสีขาวของหิมะมาแทนที่
แล้วรถก็จะจอดจุดที่ 2 Dagu Lake ทะเลสาบต๋ากู่
ซึ่งตอนที่เราไปนั้น รอบๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะ เต็มพื้นที่เลย
นักท่องเที่ยวดูตื่นเต้นกันมาก
เราแวะอยู่จุดนี้ค่อนข้างนานทีเดียว
จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยังจุดสุดท้าย
นั่งคือจุดขึ้นกระเช้า
ตรงจุดนี้จะมีห้องน้ำ ศูนย์อาหาร ร้านขายของที่ระลึก
หลังจากทำธุระเสร็จ
ก็ค่อยๆ เดินไปตรงศูนย์อาหาร
การสั่งอาหารของที่นี่
เค้าจะมีเมนู พร้อมรูป อยู่ด้านบน
เราก็ถ่ายรูปเมนูที่อยากกิน
แล้วเอาไปให้พนักงานที่เคาเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงกลางของศูนย์อาหาร
หลังจากคิดเงิน จ่ายเงินเรียบร้อย (จ่ายด้วย Alipay / WeChat ได้)
เค้าจะให้ใบเสร็จมา
แล้วเอาใบเสร็จไปยื่นให้พนักงานที่จุดสั่งอาหาร
โดยช่วงที่เราไป จะมี 2 จุด
จุดแรกจะอยู่ใกล้ๆ กับเคาน์เตอร์คิดเงินเลย
สำหรับใบเสร็จที่สั่งอาหารง่ายๆ เช่น ไส้กรอก ไข่ต้ม ซาลาเปา ข้าวโพดต้ม อะไรพวกนี้
อีกจุดนึงจะอยู่ด้านใน ใกล้กับรูปเมนูอาหาร
สำหรับใบเสร็จที่สั่งอาหารพวกบะหมี่ กับข้าว หรืออาหารที่ต้องใช้เวลาปรุง
หลังจากกินเสร็จก็เกือบจะเที่ยงพอดี
จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในของศูนย์อาหาร
จะมีทางเดินขึ้นไปตรงกระเช้า
ตอนนี้เริ่มเดินเหนื่อยแล้ว
ระหว่างเดิน ไม่เห็นมีใครนำหน้าหรือตามหลังมาเลย
นักท่องเที่ยวน้อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
พอมาถึงจุดขึ้นกระเช้า จะต้องทำการตรวจตั๋วอีกรอบ
ซึ่งเราสามารถยื่น Passport ให้เจ้าหน้าที่ได้เลย
พอผ่านมาได้
ก็มารอขึ้นกระเช้า
ด้วยความที่นักท่องเที่ยวน้อยมากกกกกก
เค้าเลยให้ขึ้นแบบส่วนตัวได้เลย ไม่ต้องนั่งกับคนอื่น
เมื่อกระเช้าเริ่มเคลื่อนขึ้น
เวียนหัวว่ะ 55555
จะรอดมั้ยนิ 😩
ตอนนี้บรรยากาศรอบๆ กระเช้าคือ ขาวมาก ขาวโพลนนนนนนนนน
นึกถึงตอนขึ้นกระเช้ามังกรหยกเลย
นี่ชั้นจะไม่มีบุญกะอะไรพวกนี้เลยหรอเนี่ยยยยย
แต่ด้วยความที่มึนหัวววววววว
เลยเอาแต่สูดอ๊อกซิเจนอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง
แทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย
ส่วนใหญ่เพื่อนถ่าย
อาการบนกระเช้าคือ
มึนหัว หูอื้อ มวนท้อง
แพ้ความสูงมั้ยนะ ฮืออออออ ถ้าแพ้ต้องกลับลงมาเลยนะเนี่ยยยยย 😱
กระเช้าใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็มาถึงด้านบนสุด
พอลงกระเช้า ก็เดินออกมาตามลูกศร
จะเจอคาเฟ่ด้านบนที่ร่ำลือกัน
แต่เนื่องจากช่วงที่ไป มันยังปรับปรุงอยู่
สภาพเลยเหมือนศูนย์อาหารมากกว่า
บนนี้คนไม่ได้หนาแน่น แต่คาเฟ่มันเล็ก มันเลยไม่ค่อยมีที่นั่ง
เราพักกันตรงคาเฟ่นี้สักพัก เพื่อสำรวจอาการแพ้ความสูง
และเราใช้อ๊อกซิเจนหมดไปกระป๋องนึงแล้ว 5555
เพื่อนเลยไปซื้อมาใหม่อีกกระป๋องนึง เพื่อความปลอดภัย
ระหว่างนี้ก็สูดกันไปก่อน
พอพร้อมแล้ว(มั้ง) ก็เดินออกมานอกคาเฟ่
อากาศตอนนี้ หนาวมากกกกกและหมอกหนามาก แต่ยังมองเห็นวิวระยะสั้นๆ ได้อยู่
จากนักท่องเที่ยว สู่ผู้ประสบภัย (แต่สภาพยังดีกว่าตอนไปภูเขามังกรหยก)
การเดินแต่ละก้าว ค่อนข้างลำบาก
เพราะนอกจากความลื่นของพื้นแล้ว ความสูงก็ทำให้เหนื่อยง่ายด้วยเช่นกัน
ทางเดินมีบันไดขึ้นลง อยู่ตลอด ไม่ใช่ทางเดินเรียบๆ เลยเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
ต้องเดินอย่างช้าๆ
ตรงลานกว้าง ที่มีป้ายหิน แสดงความสูง 48ุ60 เมตรอยู่
ซึ่งป้ายนี้ คนต่อคิวเยอะมาก
เราขึ้เกียจรอ เดินไปดูรอบๆ ดีกว่า
ตอนนี้ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย เพราะว่าแดดไม่มี และหนาวมาก
นี่รอลุ้นว่า ตอนบ่ายๆ แดดจะออกจริงรึเปล่า
หลังจากเดินวนลานกว้างครบ 1 รอบ
ก็เดินลงไปตรงทะเลสาบด้านล่าง
ทะเลสาบน้ำตา Tears Lake
ตอนแรกไม่เข้าใจทำไมชื่อนี้
พอลงไปถึง ก็รู้เลย น้ำตาชั้นเนี่ยแหละ
กว่าจะเดินถึง แทบร้อง
ตอนนี้ทะเลสาบ 80% กลายเป็นน้ำเข็งไปแล้ว
แต่ตอนนี้คือ การแพ้ความสูง มาหนักมาก ปวดหัวตึบๆ เลย
ขนาดอยู่ต่ำกว่าตรงลานกว้าง
ตอนแรกจะเดินอ้อมไปทางซ้าย เพราะเค้ามีทางให้เดินชม
แต่ไม่ไหวแล้ว
คิดว่าต้องกลับไปตรงลานกว้าง
แต่ลานกว้าง แม่งอยู่ข้างบนไง
แล้วสูงด้วย
กว่าจะเดินถึง
หอบแล้ว หอบอีก
แทบตาย 😰
เดินสามก้าว สูดอ๊อกซิเจน นึกถึงตอนไปเดินย่าติงวันแรกเลย
ใช้เวลาเกือบสิบนาที กว่าจะเดินกลับขึ้นมาได้
พอมาถึงลานกว้าง ค่อยรู้สึกสบายหัวขึ้นมาหน่อย
จากนั้นก็เดินเข้าไปพักในคาเฟ่
โชคดีได้ที่นั่งริมหน้าต่างพอดี
ถ้าเค้าปรับปรุงเสร็จ คงจะสวยจริงๆ นั่นแหละ
แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ไปก่อน
หลังจากพักฟื้นได้สักพัก โชคดี ตอนนี้ฟ้าเริ่มเปิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ก็เลยเดินกลับไปตรงลานกว้างอีกรอบนึง เก็บรูป ก่อนฟ้าจะปิดอีก
ตอนนี้รู้สึกสบายตัวแล้ว เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
ตอนนี้เราสามารถเดินไปเรื่อยๆ แบบไม่หอบได้แล้ว
ตอนนี้ไม่มีอะไร แค่เดินถ่ายรูปบริเวณรอบๆ นี้ไปเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วมันจะมีจุดชมวิวอีกฝั่ง
ซึ่งอยู่ถัดจากคาเฟ่ไป สามารถเดินอ้อมห้องน้ำด้านหลังคาเฟ่ไปได้
แต่ตอนเราไป ทางตรงนี้มันโดนหิมะปิดอยู่ เลยไม่ได้ไป
เดินอยู่บนนั้นประมาณ 4 ชม.
เพื่อนเริ่มไม่ไหวแล้ว เลยกลับมาที่คาเฟ่
หลังจากพักได้แป๊บนึง และคาดว่าไม่ไหวจริงๆ
ก็เลยกลับดีกว่า
ตอนขากลับ ก็เหมือนเดิม นักท่องเที่ยวน้อย เลยได้นั่งกระเช้าแบบส่วนตัว
ตอนนี้ฟ้าเปิด ทำให้เห็นวิวรอบๆ กระเช้ามากขึ้น
แต่จะต่างจากตอนขาขึ้นมา เนื่องจากตอนนี้ หิมะจะละลายไปบ้างแล้ว
โซนล่างๆ จึงมองเห็นต้นไม้สีสันสดใส มากกว่าขาขึ้นมา
เมื่อมาถึงด้านล่าง
ก็เดินต่อไปที่จุดขึ้นรถ
เพื่อนั่งรถกลับลงไปที่ทางเข้าอุทยาน
รถใช้เวลาเกือบชม. แบบไม่แวะจอดเลย มาถึงลานจอดรถประมาณ 17.30
จากนั้นก็ทักแชทไปหาพนักงานโรงแรม
แล้วก็เดินไปตรงจุดที่เค้ามาส่งเราตอนเช้า
ซึ่งพอเราไปถึง เค้าก็ขับมาถึงเช่นกัน
จากนั้นก็นั่งรถกลับไปยังโรงแรม
เปลี่ยนชุดเล็กน้อย
ก่อนที่พนักงานจะพาเราไปที่ห้องอาหารด้านล่าง
เค้าบอกว่า อาหารเย็น เราสามารถสั่งกับแม่ครัวได้เลย
แต่เมนูเค้ามีน้อยมาก ไม่มีรูปด้วย
เราเลยเอารูปเมนูอาหารที่เซฟมาจากเน็ตให้เค้าดู
เค้าก็ทำให้ได้นะ
แต่ ทำนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกก
แล้วก็นึกขึ้นได้
ว่าเรา ลืม เรื่อง รถ กลับ เฉิง ตู ไป เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
กรี๊ด ชั้นยังไม่ได้ซื้อตั๋วกลับ 😱😱😱😱
แต่พอคุยกับเพื่อน
ตอนแรกว่าจะนั่งรถยิงยาว จากเฮ่ยสุ่ย ไปเฉิงตูเลย รถใช้เวลา 7-8 ชม.
แต่เนื่องจากตอนขามา ชั้นเกือบตาย เพราะเมารถ และปวดท้อง
เลยขอบายดีกว่า
เปลี่ยนเป็นนั่งรถจากเฮ่ยสุ่ย ไป เหม่าเสี้ยนดีกว่า
แล้วค่อยนั่งรถไฟจาก เหม่าเสี้ยนไปเฉิงตู
แล้ว ... ตั๋วรถไฟ ก็ไม่มีด้วยนะ
แล้วก่อนหน้านี้ คือมันเต็มหมดไง เลยไม่ได้จอง กะไปตายเอาดาบหน้า
อ๊าากกกกกกกกกก อิหยังวะ 😱😱😱😱
พอไปเช็คตั๋วอีกรอบ
เอ๊า !!! มันมีเหลือทุกรอบเลยแหะ สงสัยเค้าเพิ่งเพิ่มมามั้ง
รอบรถจากเฮ่ยสุ่ย ออกประมาณ 8.30 ไปถึงเหม่าเสี้ยน ก็ประมาณ 11.00
และต้องนั่งรถไปสถานีรถไฟอีก 30 นาที
เราเลยเล็งรอบรถไฟ 12.56 กับ 14.15 ไว้
แต่ 12.56 มีแต่ตั๋วยืนอ่ะ
ส่วน 14.15 ก็รอนานไปหน่อย เดี๋ยวได้เที่ยวเก็บตกในเฉิงตูน้อย
เลยนั่งรีเฟรซแอพไปเรื่อยๆ ระหว่างรอข้าว
ในที่สุดก็ได้ตั๋วชั้น 1 รอบ 12.56 มา หลังจากรีเฟรซไปเกือบครึ่งชม.
เย้!!!! มีตั๋วรถไฟแล้ว 😁
แต่....ตั๋วรถบัสยังไม่มี ถ้าไม่ได้บัสรอบเช้าสุด คือ จบเลยนะ 5555
แล้วตอนเช็ครอบรถในแอพ ctrip มันเหลือแค่ 9 ที่เองงงงงงงง 😱
แต่ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตต้องเดินต่อ ไปลุ้นเอา 😂
ระหว่างที่กรี๊ดกร๊าดอยู่ในใจ
ข้าวก็มา
ชามยักษ์มาก สมเป็นอาหารจีน
ข้าว 2 ชาม ใช้เวลากินเป็นชม. เลย
จนพนักงานเห็นกินกันนาน กลัวอาหารจะเย็น ก็อาสาจะไปอุ่นให้ใหม่ ใจดีไปอีก 😅
พอกินเสร็จ
เราก็ไปพักในห้อง
สรุปแพลนเดินเล่นในตัวเมืองเฮ่ยสุ่ย ก็ไม่ได้เดิน
ทริปนี้นี่คือ ไปเมืองไหน เที่ยวอุทยานเต็มวันหมด ไม่ได้เดินเล่นเมืองเค้าเลยนะเนี่ย
🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼🐼
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น